วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สงคราม...ไม่มีวันสุดสิ้น


เยอรมนี ประกาศยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปลายๆ ปี 1945 หลังจากที่โดนสหภาพโซเวียตรุกคืบจนไร้ทางถอย และ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองในหลุมหลบภัย...
ญี่ปุ่น ยกธงขาวเช่นเดียวกัน หลังจากระเบิดปรมาณู 2 ลูกถล่มฮิโรชิมาและนางาซากิ...
อย่างเป็นทางการ -- ถือว่า สงครามได้สิ้นสุดลงไปแล้ว หากทว่าสำหรับผู้ที่ประสบภัยจากสงคราม ดูเหมือนว่าทั้งชาตินี้ไม่มีวันที่จะสิ้นสุด จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ
Zwartboek (Black Book) เปิดเรื่องขึ้นมาเชยๆ ให้นักท่องเที่ยวสาว รอนนี (ฮาลินา รียิน) ที่เดินทางไปเยือนอิสราเอลในปี 1956 ได้พบกับเพื่อนเก่าสมัยสงครามของเธอ จากกรุงเฮก ประเทศฮอลแลนด์ ซึ่งปัจจุบันเป็นครูอยู่ในโรงเรียนยิว ราเชล สไตน์ หรือเอลลิส เด ฟรีส (คาริซ ฟาน ฮูเตน) -- การพบกันสะกิดอารมณ์ระลึกความหลังของหญิงสาวชาวยิว ผู้รอดจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้...
เรื่องราวตัดกลับไปยังปีสุดท้ายของสงครามโลกใน 1944 เมื่อเยอรมนีรุกคืบเข้ามายึดฮอลแลนด์ได้สำเร็จ ราเชลซ่อนตัวอยู่ในห้องใต้หลังคาของเพื่อนบ้าน แต่กลับถูกเยอรมันนาซีส่งระเบิดทำลายบ้านดังกล่าวเสียราบคาบ เธอรอดตายหวุดหวิดเพราะไม่อยู่ในบ้าน และได้รับความช่วยเหลือจากชายคนหนึ่ง ซึ่งบอกว่าสามารถจะพาเธอหนีออกจากฮอลแลนด์ได้
ในกลุ่มของชาวยิวอพยพ ราเชลได้พบกับครอบครัวที่พลัดพรากไป ยังไม่ทันดีใจที่ได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้ง แพผู้ลี้ภัยที่กำลังล่องไปอย่างเงียบเชียบกลางลำน้ำ ก็เผชิญหน้าเข้ากับตำรวจเอสเอสของนาซี ที่ทำการกราดยิงชาวยิวบนแพทั้งหมด ราเชลถูกกระสุนถากหน้าผากและกระโดดน้ำหนีได้ทันเวลา เธอแอบซ่อนในน้ำแล้วได้เห็นตำรวจเอสเอสทำการปล้นเอาของมีค่าจากผู้เสียชีวิต
ราเชลได้รับการช่วยเหลือจากกลุ่มใต้ดินต่อต้านนาซี เปลี่ยนชื่อให้เธอใหม่เป็น เอลลิส เด ฟรีส ทั้งย้อมผมเธอให้เป็นสีบลอนด์ไม่ให้คนสงสัยว่าเธอเป็นยิว เอลลิสได้ทำงานในโรงงาน ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในคนสำคัญที่ทำงานให้องค์กรใต้ดิน
เอลลิสต้องรับบทผู้ขน "ของ" ระหว่างการเดินทางครั้งหนึ่ง ร่วมกับเพื่อนหน่วยใต้ดินอย่าง หมอฮันส์ อัคเคมันส์ (ตอม ฮอฟฟ์แมน) เธอหลบหลีกตำรวจเอสเอสจนกระทั่งได้ไปพบกับนายพลลุดวิก มึนต์เซ (เซบาสเตียน โคช) ที่ความงามของเธอนั้นถูกตาต้องใจเขาไม่น้อย และจึงกลายเป็นแผนขั้นต่อไป โดยให้เธอเข้าไปสานสัมพันธ์กับเขา เพื่อเป็นสายสืบเรื่องราวในกองบัญชาการนาซี ถึงแม้ลุดวิกจะระแวงสงสัยในตัวหญิงสาวผมดำที่ย้อมเป็นสีบลอนด์คนนี้ แต่ดูเหมือนทั้งคู่จะตกหลุมรักกันและกันอย่างจริงจัง
ที่กองบัญชาการนาซี เอลลิสได้พบกับกุนเทอร์ ฟรังเคน (วัลเดอร์มาร์ โคบุส) ซึ่งเธอจดจำออกว่าเป็นผู้นำหน่วยเอสเอสที่ทำการสังหารชาวยิวบนแพอพยพ เขางัดข้อกับลุดวิก ทำให้ปฏิบัติการของเอลลิสไม่ใช่เรื่องง่าย เช่นเดียวกับ "สงคราม" ซึ่งยากที่จะสิ้นสุด
ภาพยนตร์ของ พอล เฟอร์โฮเฟน เจ้าของผลงานดัง อย่าง RoboCop (1987) Total Recall (1990) Basic Instinct (1992) และ Starship Troopers (1997) ซึ่งดูเหมือนว่าจะดำเนินเรื่องอย่างเชยๆ และเน้นไปที่ความเป็นเมโลดรามาอย่างล้นเหลือ กระทั่งหลายคนอาจจะกระอักกระอ่วนจากความเลี่ยน (เตือนไว้ก่อน)
แต่ก็ยังมีดีให้น่าติดตาม โดยเฉพาะบทที่เขียนหลอกคนดูอยู่หลายทอด กว่าจะรู้ว่าที่แท้ใครคือคนทรยศกันแน่ ก็ต้องรอจนเรื่องราวดำเนินไปจนเกือบสุดสิ้น ให้พบสิ่งที่เป็นหลักฐานชิ้นสำคัญ ก็คือ "สมุดปกดำ" ที่บันทึกเรื่องราวของชาวยิวและหน่วยใต้ดินนอกกฎหมายในฮอลแลนด์เอาไว้ทั้งหมดนั่นเอง
สมุดปกดำ เช่น Zwartboek หรือ Black Book อาจจะเป็นคำตอบสุดท้ายในสงครามที่สิ้นสุด
ทว่า ในใจของเหยื่อสงคราม เช่น ราเชล ผู้เป็นตัวแทนของชาวยิวนับล้านที่เสียชีวิตไปนั้น สงคราม...ในใจนั้นไม่มีวันที่จะสุดสิ้นเลย

ไม่มีความคิดเห็น: