วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

บันทึกชีวิตไม่ปะติดปะต่อ ของ เอดิต เพียฟ


La Mome หรือ La Vie En Rose ในเวอร์ชันนอกประเทศฝรั่งเศส เข้าฉายในเทศกาลภาพยนตร์ฝรั่งเศส อันเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลวัฒนธรรมฝรั่งเศส หรือ ลา แฟต ครั้งที่ 4 เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่บทบาทของ มาริยง โกติลยารด์ ในฐานะนักร้องผู้เป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองน้ำหอม เอดิต เพียฟ ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครอีกหลายๆ คน

เมื่อแรกชมตอนเปิดเรื่องด้วยภาพมาริยงในบท เอดิต เพียฟ ช่วงปลายของชีวิต ร้องเพลง Heaven Have A Mercy บนเวทีก่อนจะล้มพับไป แล้วภาพก็ตัดกลับไปเมื่อครั้งที่เอดิตอายุได้ 5 ขวบ (มานง เชอวาลลิเยร์) ในใจคิดว่า เอาแล้ว... จะเป็นหนังอัตชีวประวัติแบบสูตรสำเร็จ (ซึ่งอาจจะน่าเบื่อ) หรือเปล่านี่?

หลายคนที่พลาดไปชมในโรงหนัง ต้องมาอาศัยดูดีวีดีอย่าเพิ่งท้อใจเสียตั้งแต่เมื่อเริ่มเรื่อง เพราะในหนังชีวิตคนดังที่คล้ายๆ สูตรสำเร็จเรื่องนี้ ยังได้สอดแทรกสูตรพิเศษเฉพาะลงไป ระหว่างเส้นทางชีวิตซึ่งมากด้วยคุณค่าและความหมาย ของศิลปินนักร้องหญิงผู้เป็นขวัญใจ ทั้งกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งฝรั่งเศสในกาลต่อมาเอาไว้มากมาย จนอาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังประวัติบุคคลที่นำเสนอได้ดีที่สุดเรื่องหนึ่งทีเดียว

จากท้องถนนในย่านแบลล์วิลล์ในกรุงปารีส เมื่อแม่ที่เป็นนักร้องข้างถนนไม่สนใจเธอแต่อย่างใด พ่อก็ไม่มีปัญญาเลี้ยงจึงพาไปอยู่กับย่าที่ย่าน แบร์กเนย์ เมืองนอร์มังดี ย่าของเธอทำกิจการซ่องโสเภณี ชีวิตวัยเด็กของเธอจึงถูกรายรอบไว้ด้วยหญิงขายบริการ

อยู่ดีๆ เอดิทก็ตาบอด หนังเล่าตามอัตชีวประวัติของเธอว่า ตาบอดอยู่ราวๆ 3 ปี แต่พอได้ไปไหว้แซงต์เตแรส เดอ ลิลสิเยอซ์ (เซนต์เทเรซาแห่งลิสิเยอซ์) ในนอร์มังดี (Sainte-Therese de Lisieux) แล้วก็กลับมามองเห็นได้ราวปาฏิหาริย์

พ่อของเธอได้งานในคณะละครสัตว์ และมา รับเอดิตไปอยู่ด้วย แต่ละครสัตว์ไปได้ไม่สวยนัก ในที่สุดพ่อลูกก็มาเปิดหมวกแสดงกายกรรมอยู่ ข้างถนนในกรุงปารีส แต่รายได้ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากการแสดงท่าพิสดารต่างๆ ของพ่อแต่อย่างใด ทว่าเมื่อบิดาบอกให้เธอทำอะไรสักอย่าง เธอจึงเปล่งเสียงร้องเพลงชาติฝรั่งเศส La Marseilles และเสียงร้องที่สะกดใจของเด็กหญิงเอดิตวัย 8 ขวบ (ปอลีน บูร์เลต์) ต่างหากที่เรียกเสียงปรบมือกึกก้อง และเพิ่มเศษเงินบริจาคในหมวกให้ทั้งคู่

หลังจากที่พ่อไม่อยู่แล้ว แต่เอดิทยังคงหาเงินด้วยการเป็นนักร้องข้างถนน กระทั่ง หลุยส์ เลอเปล (เจรารด์ เดอปาร์ดิเยอ) เจ้าของคลับแห่งหนึ่ง เดินเข้ามาเป็นโอกาสก้าวแรกของเอดิต เขาเปลี่ยนชื่อของเธอจาก เอดิต โจวานนา กัสสิยง เป็นเอดิต เพียฟ โดยให้ใช้ชื่อในการแสดงว่า ลา มอม เพียฟ (La Mome Piaf) ที่หมายถึง นกกระจิบที่ไร้บ้าน จากที่เธอเคยเป็นหญิงสาวตัวเล็กๆ ที่เคยร้องเพลงอยู่ข้างถนน

แต่ยังไม่ทันที่เธอจะดังเป็นพลุ หลุยส์กลับมาถูกลอบยิงเสียชีวิตเสียก่อน ปล่อยให้โปรดิวเซอร์สุดโหดอย่าง หลุยส์ บาร์ริเยร์ (ปาสกาล เกรกอรี) เป็นผู้เจียระไนเธอให้เป็นเพชรเม็ดงาม

หนังตัดสลับไปมาระหว่างเรื่องราวในอดีต กับชีวิตตอนปลายที่เต็มไปด้วยชื่อเสียงแต่ไร้สุขของ เอดิต ก่อนที่เรื่องราวจะมาบรรจบกันที่ฉากสุดท้ายของหนังและชีวิตนักร้องผู้ยิ่งใหญ่...

โอลิวิเยร์ ผู้กำกับ สอดแทรกบทเพลงดังๆ ของเอดิต เพียฟ สอดคล้องไปกับช่วงตอนของชีวิต และเพลงเหล่านั้นคือตัวกำหนดอารมณ์ของหนังอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น Milord, Rien De Rien, La Foule, La Vie En Rose, Mon Dieu, La Mort De Leplee ไปจนถึง Derniere Nuit เมื่อวาระ สุดท้ายของชีวิตมาถึง

จุดแตกหักในชีวิตของเอดิตมีครบถ้วนในหนังทั้ง 2 ครั้ง ได้แก่ การจากไปอย่างไม่มีวันกลับของบุคคลที่สร้างบทเพลง La Vie En Rose ให้เป็นตำนานร่วมกับเธอ นั่นคือคนที่เธอรักที่สุด มาร์เซล แซร์ด็อง (ฌอง-ปิแอร์ มาร์แตงส์) นักมวยแชมป์โลกฝรั่งเศสเชื้อสายแอลจีเรียน ที่เสียชีวิตในเหตุเครื่องบินตก ระหว่างกำลังเดินทางจากการชกมวย เพื่อมาเป็นกำลังใจให้เธอในคอนเสิร์ตที่นิวยอร์ก หลังจากนั้นเอดิตกลายเป็นคนติดเหล้า

อีกครั้งหนึ่งคือ อุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่ทำให้เธอต้องใช้มอร์ฟีนเพื่อระงับอาการปวดหลังไปตลอดชีวิต

โอลิวิเยร์ นำเสนอความทรงจำของเอดิต เพียฟ แบบไม่ปะติดปะต่อ คล้ายเลือนรางคล้ายชัดเจน ประหนึ่งฝันที่ระคนกันทั้งร้ายดี เขายังคิดแทน นักร้องผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสผู้นี้ ออกมาเป็นภาพในความทรงจำแบบ "แฟลชแบ็ก" ที่คมชัดในเรื่องราวที่เธอต้องการจดจำ ขณะที่เรื่องราวร้ายๆ นั้นเป็นภาพที่ช่างพร่าเลือน หากก็แจ่มชัดในความรู้สึก (ภาพมัวแต่มีเสียงชัดเจน)

ขณะที่เพลงดังที่สุดของ เอดิต เพียฟ คือ Non, je ne regrette rien (No, I regret nothing) ทว่าการแสดงของมาริยง และมุมมองของโอลิวิเยร์ ทำให้ความรู้สึกเกี่ยวกับชีวิตของนักร้องหญิงผู้ยิ่งยงเป็นไปในทางตรงกันข้าม -- น่าเสียดายที่เอดิต เพียฟ มีชีวิตที่แสนเศร้าอยู่บนโลกนี้เพียง 47 ปี เท่านั้น

สำหรับคนที่ได้ดู La Mome (La Vie En Rose) ต่างหากที่สามารถร้องเพลงนี้ได้เต็มปาก...

Non, Rien De Rien, Non, Je Ne Regrette Rien...

ไม่เสียใจที่ได้ชม

ไม่มีความคิดเห็น: