วันศุกร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2551

หน่วยกล้าตายหมายเลข 1






เรื่องราวจากหนังสือชื่อเดียวกัน (The Big Red One) ของ ซามูเอล ฟุลเลอร์ ซึ่งเล่าเรื่องราวของเขาเองสมัยเมื่อครั้งต้องเข้าร่วมรบในสมรภูมิยุโรป ของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยฉบับ The Big Red One: The Reconstruction (2004) เป็นการนำภาพยนตร์จากปี 1980 มาสร้างใหม่คล้ายๆ กับรูปแบบของ ไดเร็กเตอร์’ส คัท ทว่า ซามูเอล ผู้กำกับชิงเสียชีวิตไปเสียก่อน ก็เลยได้แต่อาศัยเทคโนโลยีในการนำมาสร้างใหม่ ด้วยแรงบันดาลใจจากหนังสืออัตชีวประวัติของ ซามูเอล ชื่อ A Third Face ซึ่งกลายเป็นเวอร์ชั่นที่แทบไม่ต่างจาก ไดเร็กเตอร์’ส คัท เพราะว่า ได้นำมาตัดต่อใหม่ตามสคริปต์ในการถ่ายทำของ ซามูเอล เมื่อปี 1980

เปิดฉากมาด้วยวาทะเด็ดจากหนังสือที่ว่า “This is fictional life, based on factual death” เรื่องราวชีวิตที่สร้างขึ้นจากความเป็นความตายจริงๆ... ของ กองพันแดงหมายเลข 1 ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 กองพันที่ติดหมายเลข 1 สีแดงไว้ที่แขน หมายถึง หน่วยกล้าตายที่จะต้องนำหน้าหน่วยอื่นๆ ก่อนเสมอในการทำสงคราม

ลี มาร์วิน แสดงเป็นนายสิบโท ผู้คุมหน่วยกองพันแดงหมายเลข 1 ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาเคยประจำกองพันเดียวกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 มาก่อน และเคยรบในสนามรบที่ยุโรปมาแล้วด้วยเช่นกัน เขาต้องเป็นผู้นำหน่วยกล้าตายเข้าไปในสมรภูมิยุโรป เริ่มจากการเป็นหน่วยแรกที่ยกพลขึ้นบก ณ ชายหาดนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่จะตะลุยไปยังประเทศอิตาลี เบลเยียม และเยอรมนี

ไฮไลต์ของเรื่องราวไม่ได้อยู่ที่ยุทธวิธีการรบ ทว่า เป็นเรื่องราวของชีวิตของหน่วยกล้าตาย อย่าง กองพันแดงหมายเลข 1 อันเป็นปกติธรรมดาที่ไม่มีใครต้องการมารบ ไม่มีใครอยากฆ่าคน หรือเป็นคนที่ถูกฆ่า แต่ละคนต่างมีหวังที่จะมีชีวิตรอดกลับไป เพื่อทำให้ความฝันของตัวเองเป็นจริง

พลทหารกริฟต์ (มาร์ค แฮมิลล์ - สมัยเดียวกับกำลังแสดงในมหากาพย์สงครามอวกาศ Star Wars) ฝันอยากเป็นจิตรกร เขาฝึกฝนวาดภาพตลอดเส้นทาง แม้จะหวาดผวาเมื่อเห็นคนตายเป็นจำนวนมาก ในช่วงแรกๆ เขารายงานกับนายสิบโทผู้คุมหน่วยว่า เขาไม่สามารถจะฆาตกรรมใครได้อีกแล้ว ขณะที่ผู้คุมกล่าวตอบคล้ายคนเลือดเย็นว่า ...เราไม่ได้ฆาตกรรมศัตรู แต่เราฆ่า เหมือนเราฆ่าสัตว์นั่นแหละ เราไม่ได้ ฆาตกรรมพวกมัน... แต่นั่นก็คือ ปรัชญาในการเอาชีวิตรอดในสนามรบ

พลทหารแซป (โรเบิร์ต คาร์ราดิเน) นักเขียน รุ่นเยาว์ (เป็นตัวแทนของ ซามูเอล ฟุลเลอร์ เอง) ตั้งใจว่าจะรอดจากสงครามครั้งนี้กลับไปเขียนหนังสือบอกเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับสงคราม (แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จ แถมยังมากำกับภาพยนตร์เองด้วย)

นอกจากความผูกพันในหมู่ทหารหน่วยกล้าตายแล้ว มิตรภาพกับชาวบ้านตามรายทางในประเทศต่างๆ ก็เป็นเรื่องราวในความทรงจำอันสุดประทับใจที่ซามูเอล ถ่ายทอดเอาไว้ด้วย มิตรภาพเกิดขึ้นได้ทุกที่ แม้จะเป็นช่วงเวลาแห่งความตึงเครียดในสนามรบ หรือระหว่างคนที่พูดกันคนละภาษาก็ตาม

สนามรบในอิตาลีและฝรั่งเศส ดูเหมือนจะเป็นสถานที่ประทับใจเป็นพิเศษที่นักเขียน/ผู้กำกับ เล่าถึงตัวละครเอกในเรื่องของเขา อย่าง นายสิบโท เอาไว้ได้อย่างน่ารัก ไม่ว่าจะเป็นน้ำใจของผู้คุมหน่วยคนนี้ที่มีต่อเด็กน้อยชาวอิตาเลียนที่สูญเสียแม่ เด็กหญิงในหมู่บ้านที่ประดับหมวกเหล็กของเขาด้วยดอกไม้หลากสีสัน หรือกับคนสติไม่ดีในโรงพยาบาลบ้า แม้กระทั่ง การ ให้กำเนิดเด็กชายของหญิงท้องแก่ในรถถังของฝ่ายเยอรมนี รวมทั้ง เด็กชายชาวยิวผู้น่าสงสาร ที่เขาพบในค่ายกักกันช่วงใกล้การยุติแห่งสงคราม นอกจากนี้ ยังมีนายทหารชาวเยอรมันที่เป็นคู่กัดกับเขาทั้งในสนามรบ ที่อิตาลีและฝรั่งเศส ท้ายที่สุด นายสิบก็พยายามช่วยชีวิตเขา หลังจากรับรู้ว่าสงครามยุติ เพราะ ซามูเอลว่าเอาไว้... “ทุกคนที่มีชีวิตรอดจากสงครามล้วนแต่ งดงาม”....

ภาพยนตร์ปูพื้นชีวิตของนายสิบและพลทหารแต่ละคนเอาไว้อย่างง่ายๆ ประสบการณ์เลวร้ายในสงครามโลกครั้งที่ 1 ของนายสิบโท คือ สิ่งที่เขาต้องการจะแก้ไขใหม่ในการมาสงครามครั้งนี้ แต่เขาก็เกือบจะพลาดอีกจนได้ เมื่อไปเสียบพุงของทหารเยอรมันเข้า หลังสงครามสิ้นสุดลงไปแล้วถึง 24 ชั่วโมง

ในเวอร์ชั่น Reconstruction ดูเหมือนจะเน้นบทบาทของ นายสิบโทหัวหน้าหมู่ให้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องมากขึ้นจากเวอร์ชั่นเก่า ในเรื่องถ่ายทอดให้เห็นความนิ่งและความเข้าใจโลกของเขาท่ามกลางความวุ่นวายของพลทหารคู่หูทั้ง 4 (อีก 2 คนคือ พลทหาร วินชี่ (บ็อบบี ดิ คิชโช) กับพลทหารจอห์นสัน (เคลลี วาร์ด) ซึ่งอ่อนประสบการณ์ และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และมากด้วยความหวังที่ต้องการ มีชีวิตอยู่

โดยปกติแล้ว ภาพยนตร์ที่นำมาตัดต่อ หรือทำเป็นเวอร์ชั่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีการขยายเรื่องให้ยาวออกไปอีกนั้น มักจะออกมาแย่กว่าเวอร์ชั่นดั้งเดิม ทว่า The Big Red One: The Reconstruction (2004) กลับเป็นข้อยกเว้น ด้วย 45 นาทีที่เพิ่มเข้ามายิ่งขับเน้นจุดเด่นของเรื่อง ก็คือ ความงดงามของการมีชีวิตอยู่ และมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างความเป็นความตายในสงครามได้ชัดเจน และสะเทือนอารมณ์มากยิ่งขึ้น

The Big Red One: The Reconstruction (2004) เป็นภาพยนตร์สงครามเชิงดรามาที่เล่าเรื่องราวงดงามที่เกิดขึ้นระหว่างสถานการณ์ที่อาจชี้ความเป็นความตาย ถ้าใครชื่นชอบภาพยนตร์แอคชั่นสงครามประมาณ Black Hawk Down หรือ Saving Private Ryan ก็คงจะผิดหวังเมื่อคว้าเรื่องราวที่ออกจะดูน่าเบื่อเรื่องนี้มาชม

ในขณะที่คนที่ชอบภาพยนตร์สงครามแนวดรามา ทำนองเดียวกับ All Quiet on the Western Front (ลิวอิส ไมล์สโตน-กำกับ), A Bridge Too Far (ริชาร์ด แอตเทนเบอโรห์ - กำกับ) และ Das Boot หรือ The Boat ภาพยนตร์สงครามคลาสสิกของเยอรมัน (วูล์ฟกัง พีเทอร์เซน - กำกับ) น่าจะชอบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน

ที่สำคัญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมฉากตอนสุดสยอง อารมณ์ขัน และเรื่องราวหนักๆ กับความงดงามสุดมหัศจรรย์ของชีวิตมนุษย์ อันเป็นจุดเด่นในผลงานของ ซามูเอล ฟุลเลอร์ เอาไว้อย่างครบถ้วน

ไม่มีความคิดเห็น: