วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

โลกไม่ได้เป็นอย่างนั้น รัก (ก็) ไม่ได้เป็นอย่างนี้


Submarine
ปี 2010
ประเทศ อังกฤษ
ภาษา อังกฤษ
ประเภท ชีวิต / ตลก
เรตติง R (ภาษาไม่เหมาะสม/เนื้อหาเรื่องเพศ)
ความยาว 97 นาที
กำกับ ริชาร์ด อะโยอาเด
แสดงนำ เคร็ก โรเบิร์ตส์ / ยาสมิน เพจ / แซลลี ฮอว์คินส์ / โนอาห์ เทย์เลอร์ / แพดดี คอนสิดีน


หนังชีวิต/ตลกฝั่งอังกฤษ ผลงานกำกับเรื่องแรกของ ริชาร์ด อะโยอาเด ที่เขาเขียนบทเองด้วยจากหนังสือชื่อเดียวกันของ โจ ดันธอร์น เล่าเรื่องของหนุ่มน้อย โอลิเวอร์ เทต (เคร็ก โรเบิร์ตส์) ในวัยที่กำลังก้าวข้ามสู่ความเป็นผู้ใหญ่

เรื่องราวย้อนไปในปี 1986 บรรยากาศเมืองสวอนซี ประเทศอังกฤษ หนุ่มน้อย โอลิเวอร์อายุอานามได้ 15 ปี หน้าตาท่าทาง ดูเนิร์ดๆ แบบหนุ่มคงแก่เรียน แต่ดันไป หลงรักสาวน้อยแก่นเซี้ยวเปรี้ยวซ่าอย่าง จอร์ดานา (ยาสมิน เพจ) ที่นอกจากดูเป็นเด็กมีปัญหาแล้ว ยังชอบพูดจาตรงไปตรงมาแบบเชือดเฉือนอีกต่างหาก

โอลิเวอร์ แอบหลงรัก จอร์ดานา แต่สาวเจ้าไม่สน จนกระทั่งหลังจากทั้งสองรุมแกล้งเพื่อนร่วมชั้นอีกราย จอร์ดานา แอบนัดเขาไปเจอหลังเลิกเรียน หลังถ่ายรูป ระหว่างจุมพิตกันเป็นสิบๆ รูป ผ่านกล้องโพลารอยด์ อันเป็นแผนของ จอร์ดานา ที่จะทำให้แฟนเก่าหึงหวง แต่ในที่สุดทั้งคู่ก็ คบหากัน

ย้อนกลับไปดูชีวิตที่บ้านของหนุ่มน้อย โอลิเวอร์ ความสัมพันธ์ของพ่อ ลอยด์ เทต (โนอาห์ เทย์เลอร์) นักชีววิทยาสัตว์ทะเล กับแม่ จิลล์ เทต (แซลลี ฮอว์คินส์) ดูท่าทีไม่ค่อยราบรื่น ทั้งคู่ไม่ได้นอนร่วมห้องมานานปี เหตุเพราะพ่อป่วยเป็นโรคซึมเศร้า

ปัญหารบกวนจิตใจหนุ่มน้อยผู้กำลังโตยังมี แกรห์ม (แพดดี คอนสิดีน) กูรูศาสตร์นิวเอจ ปรับอารมณ์/ชีวิตด้วยสี อดีตคนรักแม่ ย้ายมาอยู่บ้านข้างๆ หลังโอลิเวอร์เห็นแม่กับแกรห์มไปพบกันในเมืองสองต่อสอง เขาก็ฟันธงทันทีว่าแม่มีชู้!

ความสัมพันธ์ลุ่มๆ ดอนๆ ในบ้าน ส่งผลต่อความสัมพันธ์ของเขากับจอร์ดานา ที่กำลังมีปมปัญหาแม่ป่วยเป็นโรคมะเร็งทางสมอง ช่วงปิดเทอมคริสต์มาสของหนุ่มน้อยผู้สับสน เขาตัดขาดการติดต่อจากแฟนสาวสุดแสบไปเสียดื้อๆ หันมาทำทุกวิถีทางแบบเด็กๆ ที่จะทำให้แม่เลิกราความสัมพันธ์กับแกรห์ม และกลับมารักกับพ่อเหมือนเดิม

กระทั่งเปิดเทอมใหม่ จอร์ดานา ควงคู่มากับแฟนหนุ่มก้านยาว โอลิเวอร์ จึงได้รู้ว่าเขาอกหักอย่างจัง ไหนจะเรื่องหญิง ไหนจะเรื่องพ่อแม่ ชีวิตวัยรุ่นมันช่างวุ่นวายหนอ ไม่มีอะไรหยุดยั้งให้เขาทำอะไรแย่ๆ อย่างการปีนเข้าบ้านแกรห์มไปทำตัวเละเทะ ได้แน่ๆ

Submarine เล่ามุมมองของวัยรุ่นที่มีต่อเรื่องราวของผู้ใหญ่ โดย ริชาร์ด อะโยอาเด นำเสนอในสไตล์แปลกๆ เซอร์ๆ นำทฤษฎีสี ภาพพอร์เทรตของนักแสดง กับเทคนิคการถ่ายภาพแบบแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการ ซูมเอาต์อย่างรวดเร็ว หรือนำภาพสโลว์ โมชันมาใช้ ตัดสลับให้อารมณ์และจังหวะของหนังแตกต่าง กลายเป็นการนำเสนอที่โดดเด่นดูดีไป

บุคลิกของตัวแสดงหลักๆ ดูหลุดโลก ไม่สมจริง ท่ามกลางท้องเรื่องที่เล่าถึงปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในสังคม สอดแทรกบทสนทนาแบบตลกร้าย ทั้งหมดล้วนเป็นเสน่ห์ของหนังที่เล่าอุปสรรคชีวิตวัยรุ่นในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่าน

บทเพลงสไตล์อินดี้ร็อก ผ่านน้ำเสียงใหญ่เจือแหบของ อเล็กซ์ เทอร์เนอร์ นักร้องนำวงอาร์คติก มังกีย์ส ที่มาทำงานนักร้องเดี่ยวชุดแรก เพิ่มอรรถรสให้ภาพยนตร์ได้อักโข

ชีวิตวัยรุ่นนั้นเปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการมากมาย ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ยังไม่รู้ทิศ รู้ทางว่าจะโผล่ไปทางไหน ไม่ต่างจาก เรือดำน้ำที่ต้องอาศัยการนำทางผ่านเรดาร์ แม้ว่าอาจจะเดินออกนอกวิถีไปบ้าง... อะไรบ้าง...

กระนั้นก็ยังมีโอกาสให้เริ่มใหม่ได้ ทุกวัน

ทุกคนล้วนเป็นเหยื่อ


ก่อนปี 1992 กรุงซาราเยโวยังเป็นหนึ่งในสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ทั้งมุสลิม เซิร์บ และโครแอต ต่างอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสันติ เป็นเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งยังไปเดต คบหากันข้ามเผ่าพันธุ์ ข้ามเชื้อสาย ข้ามศาสนา

จิตรกรสาวสวยเชื้อสายบอสเนีย ไอลา (ซานา มาร์ยาโนวิช) ที่เพิ่งนัดเดตแรกกับนายตำรวจหนุ่มเชื้อสายเซิร์บ ดาเนียล (โกรัน คอสทิช) ทว่าทุกสิ่งทุกอย่างกลับ พลิกผันไปอีกหน้ามือ เมื่อผู้นำเผด็จการขณะนั้น สโลโบดัน มิโลเซวิช ไม่เห็นด้วยกับการขอแยกตัวเป็นอิสระของบอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา

สงครามกลางเมืองจึงเกิดขึ้น และเปลี่ยนสถานะเพื่อนบ้าน เพื่อนร่วมงาน และคู่เดต จากมิตรสหาย คนรู้ใจ กลายเป็นศัตรูในชั่วข้ามคืน

ไอลาและดาเนียล พบหน้ากันอีกครั้งหลังเดตครั้งแรก ในฐานะนายทหารกับเชลยสงคราม–ทหารเซิร์บที่เข้ามายึดครองกรุงซาราเยโว จับผู้หญิงชาวบอสเนียมาเป็นตัวประกัน ให้ทำงานบ้าน ทำอาหาร ซักเสื้อผ้า ใช้ระบายอารมณ์ใคร่อย่างป่าเถื่อน รวมทั้งอาศัยพวกเธอเป็นโล่มนุษย์ ไว้กำบังกระสุนจากหน่วยใต้ดินฝ่ายต่อต้าน

ดาเนียล นายทหารหนุ่ม ลูกนายพลคนสำคัญของกองทัพเซิร์บ พยายามปกป้องไอลาเท่าที่จะทำได้ ซ้ำยังบอกช่องทางหนีให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า หลังสบโอกาสที่เธอทำสำเร็จ แต่แล้วก็กลับถูกพบเจอและจับตัวกลับมาใหม่ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากจัดสถานที่ให้เธอเป็นพิเศษ อยู่ในฐานะชู้รัก แถมยังจัดหา ขาตั้งเฟรม สีพู่กัน มาให้เธอวาดภาพ

สงครามกลางเมืองที่กินเวลายาวนานกว่า 3 ปีครึ่ง เนื่องเพราะสหประชาชาติและสหรัฐอเมริกาเอง ก็ไม่ต้องการเข้ามายุ่งเรื่องกิจการภายในประเทศคอมมิวนิสต์ ยิ่งมายิ่งตึงเครียด โดยเฉพาะบิดาของดาเนียล นายพลเนบอยซา (ราเด เซอร์เบดซิยา) นายพลขวาจัด ไม่พอใจอย่างแรง หลังรู้ข่าวว่าลูกชายตัวเองทำอะไรไม่ได้ดังใจ แถมยังแอบเก็บชู้รักที่เป็นหญิงสาวฝ่ายศัตรูเอาไว้ข้างกาย

ท่ามกลางสงครามยังมีความรัก หากความรักของทั้งคู่ไม่มีทางเป็นไปได้ เมื่อต่างฝ่ายมิอาจไว้ใจซึ่งกันและกัน

In the Land of Blood and Honey ผลงานกำกับครั้งแรก (และยังเขียนบทเองด้วย) ของ แองเจลินา โชลี หยิบยกเอาเรื่องราวของสงครามกลางเมืองที่รุนแรงและยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ของยุคใหม่ มานำเสนอผ่านความสัมพันธ์ของไอลาและดาเนียล หญิงชายซึ่งตกที่นั่งอยู่คนละฝ่ายของความขัดแย้ง

แองเจลินา ใช้นักแสดงท้องถิ่นตัวจริงเสียงจริงมานำแสดงในเรื่องนี้ ซึ่งต่างก็เป็นนักแสดงอาชีพที่ต้องการถ่ายทอดเรื่องราวสงครามกลางเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยให้โลกได้รู้ โดยเฉพาะซานาและโกรันอันเป็นตัวแทนของชาวมุสลิม บอสเนีย และเซิร์บ บอสเนียตัวจริงเสียงจริงก็ต่างทำได้ดีมากทั้งคู่

ก่อนหน้านี้ กรุงซาราเยโวยังเป็นหนึ่งในสาธารณรัฐยูโกสลาเวีย ทั้งมุสลิม เซิร์บ และโครแอต ต่างอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างสันติ

เรื่องราวแบบนั้นไม่มีวันเป็นไปได้อีกแล้ว...

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เหตุเกิดที่เลบานอน


Lebanon (Levanon)
ปี 2009
ภาษา ฮิบรู
ประเภท ชีวิต/สงคราม
เรตติ้ง R
ความยาว 93 นาที
กำกับ ชมูเอล มาออซ
แสดงนำ ออสชรี โคเอน/โซฮาร์ ชเตราส์/มิฮาเอล มอสโชนอฟ/อิเทย์ ติราน/โยอาฟ โดนาต/ดูดู้ ตาสซา

ภาพยนตร์ต่อต้านสงครามที่ถูกวิจารณ์แบบสับเละในอิสราเอลเอง ถูกเมินจากทั้งเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ และเทศกาลภาพยนตร์กรุงเบอร์ลิน ก่อนจะไปคว้ารางวัลสิงโตทองคำ (Leone d’Oro) ที่เทศกาลภาพยนตร์เมืองเวนิส ครั้งที่ 66 และคว้ารางวัลสัตยาจิต เรย์ ครั้งที่ 14

ผลงานการกำกับภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกของ ชมูเอล มาออซ เล่าเรื่องของทหารอิสราเอลหน่วยหนึ่ง ซึ่งไปปฏิบัติการรบในเลบานอน ย้อนไปในสงครามระหว่างอิสราเอลกับเลบานอน (ฝ่ายมุสลิม) ในปี 1982

รถถังบุโรทั่งเจิ่งนองไปด้วยน้ำสกปรกเต็มพื้น ผสมปนเปไปกับเศษก้นบุหรี่ ทหารอิสราเอล 4 นายร่วมชะตากรรมกันอยู่ในนั้น พวกเขาทั้งหมดไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอยู่ตรงส่วนไหน ณ ที่ใดของประเทศเลบานอน รวมทั้งไม่รู้เรื่องรู้ราวเหตุการณ์ใดๆ ที่เกิดขึ้นภายนอก มากเกินไปกว่าที่ได้เห็นจากช่องเล็งปืนกลมๆ ที่พลทหารป้อมปืนสามารถมองออกไปจากรถถังเท่านั้น

พวกเขากำลังเดินทางไปจุดนัดพบ หากรถถังสุดโทรมที่ผ่านสมรภูมิมาจนหมดสภาพ ไม่ว่าจะเข็มทิศ เกจ์น้ำมัน หรืออุปกรณ์มาตรวัดใดๆ ไม่อาจใช้การได้

ทหารทั้ง 4 ในรถถัง ราวกับคนตาบอดที่มองเห็นได้เพียงรางๆ พวกเขาเดินทางตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา ที่นำทหารเดินเท้าอยู่ด้านนอก

ระหว่างทางแม้จะอยู่ในช่วงปลายสงคราม ก็ยังมีกระแสของการสู้รบ ต่อต้าน โดยฝ่ายตรงข้ามแทรกตัวอย่างกลมกลืนอยู่ในกลุ่มชาวบ้านร้านถิ่น

ช่วงเวลาของความเป็นความตาย กลุ่มทหารในรถถังได้รับคำสั่งให้ใช้ระเบิดฟอสฟอรัสเคลียร์พื้นที่อาคารที่อยู่อาศัย พวกเขาปกปิดภารกิจนี้เป็นความลับสุดยอดด้วยการสั่งการโดยรหัสลับ เนื่องจากผิดข้อตกลงระดับนานาชาติ

เห็นได้ชัดว่าพลปืนไม่เคยมีประสบการณ์ในการยิงปืนในสงครามมาก่อน การตัดสินใจอันลังเลของเขายังความเสียหายมาสู่ชีวิตของกองทหารอิสราเอลเอง รวมไปถึงชาวบ้านในเลบานอนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่

อุปกรณ์ที่ใช้การไม่ได้ สถานที่แคบๆ ความร้อน ความสกปรก รวมถึงบรรยากาศอันคร่ำเครียด ทำให้ภายในรถถังเป็นสถานที่ที่ไม่น่ารื่นรมย์ที่สุดในโลก การสื่อสารอันล้มเหลวนำมาซึ่งความทะเลาะเบาะแว้งแตกคอกันเอง

ผู้กำกับจับคน 4 บุคลิกมาอยู่ด้วยกันในที่แคบ เฮอร์เซล (ออสชรี โคเอน) ทหารหัวรั้นที่พร้อมจะขัดแย้งกับผู้บังคับบัญชาทุกเรื่อง ทหารช่างคุมเครื่อง (มิฮาเอล มอสโชนอฟ) ที่อยากกลับบ้านและโทร.สื่อสารกับครอบครัวเต็มแก่ ขณะที่ ชมูลิค (โยอาฟ โดนาต) พลปืนซึ่งเป็นผู้เดียวที่มองเห็นโลกภายนอก เขาอาจเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็นมากไป ทำให้เต็มไปด้วยความทดท้อ และเป็นสาเหตุแห่งความผิดพลาด

ส่วนผู้บัญชาการในรถถัง (อิเทย์ ติราน) ไม่ต่างกับคนขับรถที่ไม่รู้ทิศ เขาแทบไม่มีบทบาทอำนาจใดๆ เลย เพราะต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาด้านนอก (โซฮาร์ ชเตราส์) อย่างเดียว

จะทำอย่างไรเมื่อพวกเขาขาดการติดต่อสื่อสารกับโลกภายนอก พวกเขาจะมุ่งหน้าไปทางไหน...

ภาพยนตร์ชีวิตระหว่างสงคราม เล่าจากประสบการณ์ของผู้กำกับชมูเอล มาออซ เอง ซึ่งผ่านการเป็นพลปืนรถถังในสงครามเลบานอนมาจริงๆ ความโดดเด่นของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ ภาพส่วนใหญ่ที่ปรากฏในภาพยนตร์ คล้ายมองผ่านช่องเล็งยิงของรถถัง ชมูเอล ถ่ายทอดให้ผู้ชมได้เห็นภาพอย่างเดียวกับที่เขา (เคย) เห็น ภาพที่ไม่อยากจะเห็น แต่ต้องเห็น ต้องดู และต้องเล็ง

การแคสติงตัวแสดงที่ยอดเยี่ยมช่วยให้ภาพยนตร์น่าอึดอัดโดดเด่นมีบุคลิกชัดเจน โดยเฉพาะพลเล็งปืนที่แทบจะเป็นตัวดำเนินเรื่อง ผู้กำกับเลือกหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวสวย แบบที่เป็นเอกลักษณ์อย่างอิสราเอล มารับบทนี้

ภาพยนตร์สร้างหลังเหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 24 ปี ทว่ากลิ่นอับชื้น ความอบอ้าวของอากาศ ความอึดอัด ร้อนรน เคร่งเครียด ของคนในรถถังยังคงถ่ายทอดออกมาได้ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

ปีนหลังคาท่องราตรีที่ปารีส


 Une Vie de Chat (A Cat in Paris)

ปี 2010
ภาษา ฝรั่งเศส
ประเภท แอนิเมชัน / ตลก / ลึกลับ / สืบสวน
เรตติ้ง PG (ไม่เหมาะกับเด็กเล็ก)
ความยาว 65 นาที
กำกับ ชอง-ลุป เฟลิซิโอลี และ อแลง กาญอล
แสดงนำ (เสียง) โอริยาน ซานี บรูโน ซาโลโมเน โดมินีก บลอง ชอง บองกีกี แบร์นาแดตต์ ลาฟงต์


ปีนี้นับเป็นปีของเมืองน้ำหอมต้นตำรับภาพยนตร์ – หนังฝรั่งเศสคว้าออสการ์ ไปพร้อมๆ กับผู้กำกับและนักแสดงนำชาย นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับ กรุงปารีส เข้าชิงออสการ์อีกมากมาย หลายเรื่อง -- Une Vie de Chat หรือ A Cat in Paris คือหนึ่งในนั้น (เข้าชิงสาขาแอนิเมชันขนาดยาว)

เรื่องราวของ ดีโน แมวเหมียวสีดำที่คล้ายมีชีวิต 2 ภาค – ยามกลางวัน มันอาศัยอยู่ที่บ้านของหนูน้อยโซอี (โอริยาน ซานี) ลูกสาวใบ้ของ ชานน์ (โดมินีก บลอง) นายตำรวจหญิงกรุงปารีส ทว่า เมื่ออาทิตย์ลาจาก เจ้าดีโนก็จะออกจากบ้านนี้ไปยังบ้านของ นิโก (บรูโน ซาโลโมเน) และไปปฏิบัติการ "ตีนแมว" โดยปีน โดด ไต่ ไปทั่วหลังคาอาคารแห่งกรุงปารีส เพื่อร่วมลักขโมย สิ่งของมีค่าต่างๆ อย่างชำนาญ

วันหนึ่ง แม่ของโซอีต้องเข้าเวรกะดึก และฝากเธอไว้กับแม่บ้านน้ำหอมฉุน (แบร์นาแดตต์ ลาฟงต์) โซอีอาศัยจังหวะดังกล่าว แอบตามเจ้าดีโนไปจนเห็นพฤติกรรมของมันกับ "นายรอบดึก"

เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ระหว่างทางกลับบ้าน โซอีดันไปเจอจอมวายร้าย วิกตอร์ กอสตา (ชอง บองกีกี) คนเดียวกับที่ยิงพ่อนายตำรวจของเธอตาย กำลังวางแผนชั่วกับลูกสมุน

สุดท้าย ทั้งแมวเหมียว ดีโน และแมวขโมย นิโก ต้องเป็นคนที่ปีนป่ายหลังคา กรุงปารีส ไปช่วยชีวิตหนูน้อยที่ปราศจากเสียงร้อง

Une Vie de Chat นำเสนอเนื้อหาง่ายๆ กับคาแรกเตอร์ฮาๆ ขำๆ ไม่ว่าจะเป็นการชอบสะสมจิ้งจกที่ดีโนจับได้ของโซอี หรือจอมโจรไต่หลังคาที่ปล้นคนรวยช่วยคนจน กับบรรดาจอมวายร้าย ที่ร้ายแบบฮาๆ อย่างในหนังไทย แม้จะมีกลิ่นอายลึกลับ ซ่อนเงื่อนบ้าง ก็พอเป็นน้ำจิ้มเล็กๆ น้อยๆ

สิ่งที่โดดเด่นก็คือ งานกำกับศิลป์ ของแอนิเมชันเรื่องนี้ ที่อาศัยการวาดสไตล์ โอลด์สกูล ใช้มือวาดการ์ตูนแบบดั้งเดิม และมีกลิ่นอายความ "เดิมๆ" อยู่มากมาย ทั้งยังคล้ายกับสไตล์ของภาพวาดในนิทานสำหรับเด็ก

สไตล์ของสีสันและตัวการ์ตูน ทำให้ย้อนนึกไปถึงศิลปะในสมัยต้นศตวรรษที่ 20 ยุคอาร์ตเดโค แนวๆ อองรี เดอ ตูลูส-โลแทร็ก หรือ ทามารา เดอ เลมปิกคา ขณะที่ตัวเอก อย่าง ชานน์ คาดว่า ได้แรงบันดาลใจจากภาพเขียนชื่อเดียวกัน (Jeanne) ของ อะเมเดโอ เคลเมนเต โมดิกลานี ศิลปินชาวอิตาเลียน ผสมผสานกับกลิ่นอายหม่นๆ แบบฟิล์มนัวร์ ซึ่งเข้ากับเนื้อหาซ่อนเงื่อน ลึกลับ ซับซ้อนได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี

นอกจากภาพแอนิเมชันสวยๆ มีสไตล์ ทั้งฉากไฮไลต์ท่องกรุงปารีสจากหลังคาตึก ซึ่งทำให้นึกถึงหนังฝรั่งเศสหลายๆ เรื่องจากยุคผู้กำกับอาวองต์-การด์ หรือยุคนิวเวฟแล้ว อีกฉากไฮไลต์คือฉากบ้านในความมืด ที่อาศัยฉากสีดำกับภาพลายเส้น ก็ถือว่าได้โชว์ฝีมือแบบยุคโอลด์สกูลให้คนแอนิเมชันยุค 3D ได้รำลึกถึงกลิ่นอายแบบนอสตราเจียกันไป

กิ๊บเก๋เพิ่มขึ้นไปอีกกับดนตรีเพราะๆ ด้วยฝีมือของ แซร์จ แบสเซต์ ที่เข้ากันมากกับฉากกรุงปารีส ซึ่งมักจะมีดนตรีลอยมาตามสายลม นอกจากจะขอยืมเพลง ของ บิลลี ฮอลิเดย์ อย่าง I Wished on the Moon มาใช้แล้ว เพลงที่เหลือ ทั้งสไตล์คลาสสิก บัลลาด และแจ๊ซ แซร์จ แต่งเองใหม่หมด

เพลงเด่นๆ นอกจากเปิดเรื่องมาอย่างอลังการด้วย Le Jazz Du Cambrioleur และ Monte En L'Air แล้ว ที่เพราะมากก็คือ Java Sous La Neige แถมท้ายด้วย Nuit De Chat

ฉากจบของเรื่อง ที่มาเอวังกัน ณ มหาวิหารโนเตรอดาม นับว่าเป็นการปิดท้ายได้ "ปารี้ส-ปารีส" ดีจริงๆ